ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวงเงินของเงินกู้ ประเภทบัตรกดเงินสดและสินเชื่อเงินสด
2017/02/27 10:57 AM
4,629 Views
ปัจจุบันการขอสินเชื่อหรือขอวงเงินจากเงินกู้ในรูปแบบต่าง ๆ ของธนาคารและสถาบันการเงินนั้นมีด้วยกันหลายประเภทหรือหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ผู้ที่ติดจะขอกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อนำไปใช้ในจุดประสงค์ต่าง ๆ นั้นเกิดความเข้าใจผิดและสับสนได้
วงเงินกู้บางประเภทนั้น เมื่อทางสถาบันการเงินหรือธนาคารได้รับเรื่องการขอสินเชื่อแล้ว และได้รับการอนุมัติสินเชื่อในวงเงินดังกล่าวให้กับผู้ยื่นขอเงินกู้แล้ว ก็จะโอนเข้าบัญชีและคิดดอกเบี้ยจากวงเงินเต็มของเงินดังกล่าวทันที แต่สินเชื่อเงินกู้ในบางประเภท แม้จะได้รับอนุมัติวงเงินของเงินกู้ในยอดเต็มวงเงินแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ถอนเงินสดออกมาใช้ ก็ยังไม่ถูกคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยออกมา จนกว่าจะมีการเบิกเงินในวงเงินจำนวนนั้นออกมาใช้
เมื่อเกิดการเข้าใจผิดของลูกค้าที่มาใช้บริการกู้เงินจากสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ของธนาคารหรือสถาบันการเงิน หลังจากที่ได้รับอนุมัติวงเงินแล้วยังไม่ได้ถอนเงินเหล่านั้นออกมาใช้ จึงเข้าใจผิดและคิดว่าวงเงินจำนวนนั้นยังไม่ถูกคิดคำนวณดอกเบี้ย แต่กลับเป็นการเข้าใจผิดที่น่าอันตรายมาก เพราะสินเชื่อเงินกู้บางประเภท ถูกคิดดอกเบี้ยแล้วตั้งแต่ทางธนาคารหรือทางสถาบันการเงินได้โอนเงินเข้าสู่บัญชี
ความแตกต่างในช่วงเวลาและรายละเอียดการคิดดอกเบี้ยของวงเงินกู้ประเภทต่าง ๆ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรกดเงินสด เราจะสังเกตได้ว่าสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรกดเงินสด เป็นผลิตภัณฑ์เงินกู้คนละชนิดกัน แต่มักถูกเหมามารวมกล่าวถึงอยู่ด้วยกัน จนทำให้คนบางกลุ่มเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด คิดว่าทั้งสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรกดเงินสดนั้นเหมือนกัน แท้ที่จริงแล้ววงเงินของสินเชื่อทั้งสองชนิดนี้มีการคิดคำนวณดอกเบี้ยที่ต่างกันอย่างมาก
เริ่มจากบัตรกดเงินสดสิ่งที่เหมือนกันกับสินเชื่อส่วนบุคคล ก็คือ การพิจารณาวงเงินที่มักอนุมัติโดยพิจารณาจากเงินเดือนหรือรายได้ประจำเช่นเดียวกัน และเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลในการค้ำประกันเช่นเดียวกัน และมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เกิน 28% ต่อปี เช่นเดียวกัน
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ สำหรับบัตรกดเงินสดวงเงินที่ได้รับการอนุมัติแล้วจะถูกโอนไว้ในบัตรหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับทางธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้น ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะมีการโอนเงินเพียงจำนวนหนึ่งให้ไว้ในบัตรก่อนเพื่อเชิญชวนให้ใช้บัตร แต่บางธนาคารหรือบางสถาบันการเงิน แม้ได้รับอนุมัติวงเงินแล้ว เมื่อจะเริ่มใช้บัตรต้องโทรไปแจ้งขอเปิดบัตรจึงมีการโอนเงินในวงเงินนั้นให้กดมาใช้ แต่สำหรับสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคล เมื่อมีการขอสินเชื่อและได้รับการอนุมัติวงเงินแล้ว หลังจากการทำสัญญาและกระบวนการต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย วงเงินทั้งหมดจะถูกโอนเข้าสู่บัญชีของผู้ขอเงินกู้ในแบบสินเชื่อเงินสดทันที
วงเงินที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่แล้วสินเชื่อของบัตรกดเงินสดจะอนุมัติวงเงินที่ 3 ถึง 5 เท่าของเงินเดือนหรือรายได้ประจำ ในขณะที่สินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลอาจจะมีการอนุมัติวงเงินให้มากกว่าสินเชื่อบัตรกดเงินสด
สิ่งที่แตกต่างกันในเรื่องเกี่ยวกับวงเงินและดอกเบี้ยของสินเชื่อเงินกู้ทั้งสองชนิดที่คนจำนวนมากยังเข้าใจสับสนอยู่ ก็คือ สำหรับวงเงินที่อยู่ในบัตรกดเงินสดนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการกดเงินในวงเงินนั้นออกมาใช้ ก็ยังไม่เกิดหนี้ขึ้นและยังไม่มีการคิดคำนวณอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้น และเมื่อกดเงินสดนั้นมาใช้ในจำนวนเงินเท่าไหร่ก็ตาม ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องกดหรือถอนเงินออกมาเต็มจำนวนวงเงินที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินอนุมัติให้ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นก็จะคิดคำนวณเท่ากับจำนวนเงินเฉพาะที่ได้เบิกออกมาใช้เท่านั้นโดยคิดคำนวณเป็นรายวัน
ส่วนวงเงินของสินชื่อเงินกู้แบบสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น เมื่อได้รับการอนุมัติวงเงินแล้ว และมีการโอนเงินเข้าในบัญชีของผู้ขอสินเชื่อเป็นที่เรียบร้อน ก็จะมีการคิดคำนวณดอกเบี้ยเต็มตามจำนวนวงเงินที่อนุมัติเข้าสู่บัญชีทันที
อีกประการที่แตกต่างกันระหว่างวงเงินของสินเชื่อสองประเภทนี้ ก็คือ การชำระคืนของเงินในวงเงินนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับการชำระเงินคืนของบัตรกดเงินสด ตราบใดที่กดเงินอออกมาใช้ในจำนวนเท่าใดก็ตามไม่จำเป็นต้องครบทั้งหมดของวงเงิน การชำระค่างวดสามารถชำระขั้นต่ำตามที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินผู้เป็นเจ้าของบัตรกำหนดขั้นต่ำไว้ อาจจะเป็น 3% หรือ 5% โดยทั่วไป แต่สำหรับการชำระคืนค่างวดของสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลจะต้องชำระในอัตราที่เท่า ๆ กันทุกเดือน และมีอัตราดอกเบี้ยและจำนวนงวดตามที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินผู้เป็นเจ้าของเงินกู้นั้นกำหนด ไม่ว่าผู้ขอสินเชื่อจะถอนเงินก้อนนั้นไปใช้จ่ายหรือไม่ก็ตาม
จะเห็นได้ว่าจากที่กล่าวมา วงเงินในสินเชื่อสองประเภทนี้อาจจะมีความเหมือนกันในแง่ของการพิจารณาจากเงินเดือนหรือรายได้ประจำของผู้ขอสินเชื่อเช่นเดียวกัน และมีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 28 % ต่อปีเช่นเดียวกัน แต่ในเรื่องของการคิดคำนวณดอกเบี้ยแรกเริ่มนั้นไม่เหมือนกัน และวงเงินของสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อส่วนบุคคลนั้นถูกโอนให้ทันทีในจำนวนเต็มวงเงินสู่บัญชีของผู้ขอสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ดังนั้นลักษณะการนำไปใช้ของวงเงินสินเชื่อเงินกู้ทั้งสองประเภทนี้ จึงมีวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่แตกต่างกัน ผู้ขอสินเชื่อจึงต้องมีการวางแผนและรู้ถึงจุดประสงค์และความต้องการในการนำสินเชื่อไปใช้ของตนเองก่อน
สุดท้ายจุดประสงค์การขอวงเงินเพื่อนำไปใช้ที่แตกต่างกันทำให้ต้องมีการออกแบบการใช้สินเชื่อที่ถูกประเภท เช่น หากเราต้องการนำเงินไปใช้เพื่อศึกษาต่อต่างประเทศหรือเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้เงินก้อนใหญ่ จึงควรพิจารณาการขอวงเงินจากสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อเงินสด เพราะวงเงินที่ได้จะมากกว่าสินเชื่อแบบบัตรกดเงินสดและเพียงพอต่อจำนวนที่ต้องการใช้ อีกทั้งการคิดคำนวณค่าดอกเบี้ยและค่างวดตายตัว ซึ่งง่ายต่อการวางแผนชำระคืน ในขณะที่บัตรกดเงินสดเหมาะสำหรับมีไว้ใช้สำรองในกรณีฉุกเฉินที่อาจจะเป็นการเบิกถอนเงินมาใช้ชั่วคราวในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์แล้วชำระคืน เป็นต้น