ผิดนัดชำระหนี้ จ่ายบัตรเครดิตช้า ต้องเจอกับอะไรบ้าง

3 สิ่งที่ต้องเจอ หากผิดนัดชำระหนี้

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม

สิ่งแรกที่คุณอาจจะต้องเจอ หากมีการ สมัคร บัตร เครดิต รูดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้ว เกิดการผิดนัดชำระหนี้ หรือจ่ายบัตรเครดิตล่าช้า คือคุณจะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มขึ้นมาจากเดิม โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านั้นหมายถึง 2 ค่าใช้จ่ายเหล่านี้

• ค่าติดตามค่าทวงถาม สำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว และเคยตกอยู่ในสถานการณ์จ่ายบัตรเครดิตล่าช้ามาก่อน จะต้องเคยเจอกับการโดนโทรทวงถาม และแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายการโทรทวงถามที่ว่านั้น จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ถือบัตรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะมีการนำเอาทบรวมในรอบบิลถัดไป ซึ่งอัตราค่าทวงถามที่ว่าจะมีราคาแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารหรือแต่ละสถาบันทางการเงิน ถึงแม้ว่าค่าทวงถามจะเป็นยอดเงินเพียงหลักร้อย แต่หากมีการจ่ายล่าช้าเรื่อย ๆ ก็สามารถทบให้กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้
• ดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระหนี้ แน่นอนว่าหากคุณไม่ได้จ่ายชำระคืนครบตามยอด หรือคุณผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต คุณจะต้องเจอกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่จะทำให้คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นจากเดิม โดยดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะเป็นดอกเบี้ยที่ถือว่าเป็นค่าปรับที่ชำระหนี้ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด หากปล่อยทิ้งเอาไว้เรื่อย ๆ หรือไม่มีการชำระหนี้ที่คงค้างสักที ดอกเบี้ยก็จะทบกลายเป็นหนี้ก้อนโตไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

1. ติดเครดิตบูโร 100%

โดยปกติแล้วธนาคาร, สถาบันทางการเงิน หรือบริษัทบัตรเครดิตต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะมีการรายงานข้อมูลการชำระหนี้ ให้แก่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า “เครดิตบูโร” ซึ่งหากคุณผิดนัดชำระหนี้ หรือมีการจ่ายหนี้บัตรเครดิตล่าช้า จะทำให้ประวัติการชำระเหล่านี้ถูกส่งไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และอาจส่งผลทำให้การยื่นขอสินเชื่อต่าง ๆ ในอนาคตของคุณเกิดปัญหา อาจทำให้คุณไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่ยื่นขอไป ไม่ว่าจะเป็น การกู้ซื้อบ้าน, กู้ซื้อรถ, การรีไฟแนนซ์ หรือการขอสินเชื่ออะไรก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบทั้งสิ้น

อาจได้รับหมายศาล

ถึงแม้การติดเครดิตบูโร จะถือเป็นเรื่องที่มีความร้ายแรงแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ร้ายแรงกว่าการติดเครดิตบูโรรออยู่ หากคุณยังไม่มีการชำระหนี้ หรือปล่อยให้หนี้คงค้างและดอกเบี้ยทบไปเรื่อย ๆ ทางธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน อาจทำการฟ้องร้องเพื่อให้คุณทำการชำระหนี้คืน ซึ่งในสถานการณ์นี้ความรุนแรงที่สุด คือคุณอาจถูกศาลตัดสินให้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อแพ้คดีจะต้องทำการชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่ศาลสั่ง อาจโดนยึดทรัพย์สิน และอาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมา

หากไม่สามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ จะต้องจัดการอย่างไรให้รอดพ้นสถานการณ์นี้

สำหรับใครที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าผ่อนจ่ายหนี้ไม่ไหว สิ่งที่จะต้องทำ คือคุณจะต้องไม่หายตัว ซึ่งคุณจะต้องรับสายโทรศัพท์ที่มีการติดต่อมาทวงถาม บอกกล่าวถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อหาทางออกร่วมกันกับทางธนาคาร, สถาบันทางการเงิน หรือบริษัทบัตรเครดิตที่เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้ โดยทางออกที่ได้จะดีกว่าการฟ้องหลายเท่า

1. การประนอมหนี้ เจ้าหน้าที่อาจยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้ยาวนานมากขึ้น เพื่อให้ยอดผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนลดลง หรืออาจมีการปรับลดดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสภาพการเงินของคุณในปัจจุบัน โดยคุณสามารถปรึกษาได้เลยว่าสามารถจ่ายไหวที่ยอดเท่าไหร่ต่อเดือน และจะได้รับการพิจารณาตามเงื่อนไขของธนาคาร หรือสถาบันทางการเงินแต่ละแห่ง
2. รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต หรือการรวมหนี้บัตรเครดิต คือการขอสินเชื่อใหม่ที่มีข้อเสนอดีกว่าเดิม เช่น มีดอกเบี้ยถูกลง มียอดผ่อนในแต่ละเดือนที่น้อยกว่ายอดจ่ายปัจจุบัน และนำเอาเงินก้อนใหม่ที่ได้มาชำระหนี้บัตรเครดิตที่มีอยู่ โดยวิธีการนี้จะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ทำให้คุณไม่ต้องไปจ่ายหนี้หลายก้อน ภาระหนี้ก็จะเบาลงกว่าเดิม

เมื่ออ่านมาถึงบทสรุปส่งท้ายของบทความ คุณคงจะเข้าใจแล้วว่าในการผิดนัดชำระหนี้ และการจ่ายบัตรเครดิตล่าช้า คุณจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากพิจารณาและประเมินแล้วว่า ตัวคุณสามารถที่จะใช้บัตรเครดิตแบบไม่ประมาท ไม่เสี่ยงต่อการเกิดหนี้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมา ก็สามารถเลือก สมัคร บัตร เครดิต ที่ใช่ ผ่านทางเว็บไซต์ของเราด้วยตัวเองได้ทันที